ตั้งราคาขายอย่างไร? ให้ได้กำไร โดย AP
- Bangkok News Network
- 4 ก.ย. 2567
- ยาว 1 นาที

ปัจจุบันการขายสินค้าออนไลน์ มีการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมียักษ์ใหญ่จากแดนมังกร บุกตลาดเมืองไทยผ่านแพลตฟอร์มที่มีสินค้าครบวงจรและการันตีสินค้า ในเรื่องของราคาที่ถูกแสนถูก ส่งตรงจากโรงงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลกมากนักเพราะกลยุทธ์ของผู้ขายจากจีนมักใช้กลยุทธ์เรื่องของราคาคือตัดราคาคู่แข่งอย่างเลือดเย็น ทำมานานแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าจีนขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
แล้วผู้ขายจะต้องทำอย่างไร?
ผู้ขายในเมืองไทยคงต้องปรับตัว ในหลายด้านทั้งเรื่องของคุณภาพและบริการ และความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ซื้อที่เรายังคงได้เปรียบกว่าในฐานะเจ้าของประเทศ แต่กระนั้นเรื่องของราคาก็คือสิ่งหนึ่งที่ผู้ขายต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน และนั่นคือสิ่งที่จะสื่อในบทความนี้
วิธีการตั้งราคาขายสินค้าหรือบริการ: สร้างกลยุทธ์ที่ใช่ เพื่อผลกำไรที่ยั่งยืน
การตั้งราคาขายสินค้าหรือบริการนั้นเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ผสมผสานกัน ผู้ขายต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน
วิธีการตั้งราคาขายสินค้าหรือบริการโดยทั่วไป มีดังนี้:
1. การตั้งราคาตามต้นทุน (Cost-Based Pricing)
วิธีคิด: นำต้นทุนการผลิตหรือบริการมาบวกกับกำไรที่ต้องการ
ข้อดี: ง่ายต่อการคำนวณ และช่วยให้มั่นใจว่าจะไม่ขาดทุน
ข้อเสีย: อาจทำให้ราคาสูงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือต่ำเกินไปจนไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่ลงไป
2. การตั้งราคาตามความต้องการของตลาด (Value-Based Pricing)
วิธีคิด: กำหนดราคาตามมูลค่าที่ลูกค้ารับรู้และเต็มใจจ่าย
ข้อดี: สามารถตั้งราคาได้สูงขึ้นเมื่อสินค้าหรือบริการมีความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี
ข้อเสีย: ต้องทำการวิจัยตลาดอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
3. การตั้งราคาตามคู่แข่ง (Competition-Based Pricing)
วิธีคิด: เปรียบเทียบราคาสินค้าหรือบริการของคู่แข่ง แล้วตั้งราคาให้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเล็กน้อย
ข้อดี: ช่วยให้สินค้าหรือบริการมีความสามารถในการแข่งขัน
ข้อเสีย: อาจทำให้ขาดเอกลักษณ์และจุดเด่นของตัวเอง
4. การตั้งราคาแบบผสมผสาน (Combination Pricing)
วิธีคิด: นำวิธีการต่างๆ มาผสมผสานกัน เช่น ตั้งราคาตามต้นทุน แต่พิจารณาความต้องการของตลาดและราคาคู่แข่งควบคู่กันไป
ข้อดี: เป็นวิธีที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับใช้ได้กับสถานการณ์ต่างๆ
ข้อเสีย: ต้องใช้ความระมัดระวังในการคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูล
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการตั้งราคา
ต้นทุน: รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายในการผลิตและการตลาด
ความต้องการของตลาด: ลูกค้าต้องการสินค้าหรือบริการประเภทใด คุณภาพระดับไหน และเต็มใจจ่ายราคาเท่าไหร่
คู่แข่ง: ราคาและกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่ง
ภาพลักษณ์ของแบรนด์: ราคาจะต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์
วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ: ต้องการสร้างยอดขาย หรือเน้นกำไร
เทคนิคการตั้งราคาเพิ่มเติม
การตั้งราคาแบบลดกระหน่ำ (Promotional Pricing): ลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาจำกัด
การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้า (Bundling): นำสินค้าหลายรายการมารวมกันแล้วขายในราคาที่ต่ำกว่าการซื้อแยก
การตั้งราคาแบบไล่ระดับ (Price Skimming): ตั้งราคาสูงในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ลดราคาลงเมื่อเวลาผ่านไป
การตั้งราคาแบบจิตวิทยา (Psychological Pricing): ใช้ตัวเลขที่ลงท้ายด้วย 9 หรือ 5 เพื่อให้ดูราคาถูกลง
สรุป
การตั้งราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ แต่ถ้าหากเข้าใจหลักการและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ทำการวิจัยตลาดอย่างละเอียด: เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
ติดตามคู่แข่งอย่างใกล้ชิด: เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตั้งราคาให้ทันต่อสถานการณ์
ทดลองและปรับปรุง: อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตั้งราคาให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ทั้งนี้การตั้งราคาอาจต้องพิจารณาอื่นๆประกอบด้วย เช่น ประเภทของสินค้าหรือบริการ กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณที่มี
ตัวอย่าง: การตั้งราคาสินค้าประเภทอาหารเสริม, การตั้งราคาบริการทำความสะอาดบ้าน, หรือ การตั้งราคาสินค้าแฟชั่น เป็นต้น
เทคนิค: การคำนวณต้นทุน, การวิเคราะห์ตลาด, หรือ การใช้เครื่องมือในการตั้งราคา
ขอให้โชคดี...
AP
Commenti