top of page

ENTEC สวทช. ร่วมมือ NEDO เปิดตัวไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อการขนส่งคาร์บอนต่ำ

  • รูปภาพนักเขียน: Bangkok News Network
    Bangkok News Network
  • 12 มี.ค.
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 15 มี.ค.

ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานพิธีเปิดการนำร่องใช้งาน “ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อการขนส่งคาร์บอนต่ำ” โดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) เป็นประธาน

ในงาน พร้อม Mr. Hironori KAWAMURA, Chief Representative of Asian Representative Office

in Bangkok ของ New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO),

Mr. Atsushi SUGIYAMA และ คุณสยามณัฐ พนัสสรณ์ จาก Sun-up Cooperation (Thailand) Co., Ltd.

Mr. Takahiko HISHIYAMA จาก Hidaka Yokoo Enterprises Co., Ltd. ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ENTEC และหัวหน้าโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน

ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC เปิดเผยว่า ENTEC ได้เริ่มศึกษาวิจัยไบโอดีเซลพรีเมียม

H-FAME (ไบโอดีเซลที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพและคุณสมบัติให้ดีขึ้น) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยได้รับการ

สนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก Japan International Cooperation Agency (JICA), Japan Science and Technology Agency (JST) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ไบโอดีเซลชนิดนี้มีความเสถียรที่สูง ทำให้สามารถผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วนที่สูงขึ้น โดยมีการทดลองผสมที่ร้อยละ 10 และทดสอบการใช้งาน

ในรถกระบะ 4 ล้อเป็นระยะทาง 100,000 กิโลเมตร และร้อยละ 20 และทดสอบระยะทาง 50,000 กิโลเมตร

ผลการทดสอบในช่วงนี้พบว่าอัตราการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ต่ำกว่าไบโอดีเซลธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มสัดส่วนการผสมกับน้ำมันดีเซล

สำหรับโครงการทดสอบล่าสุดซึ่งต่อยอดจากความสำเร็จในอดีต ENTEC ได้พัฒนาการผลิตและใช้งาน

ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME 100% ในประเทศไทย ซึ่งโดยได้รับการสนับสนุนจาก NEDO ในโครงการนี้ ENTEC สามารถสร้างโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ผลการทดสอบพบว่า

H-FAME 100% มีประสิทธิภาพเทียบเคียงน้ำมัน B7 ที่จำหน่ายทั่วไป และปล่อยฝุ่น PM น้อยกว่า การทดสอบภาคสนามในครั้งนี้ครอบคลุมการใช้งานจริงในรถกระบะ 4 ล้อ เป็นระยะทาง 10,000 กิโลเมตร รถบรรทุกของบริษัท Sun-up Cooperation (Thailand) Co., Ltd. และรถฟอร์กลิฟต์ของบริษัท Hidaka Yokoo Enterprises Co., Ltd. ซึ่งพบว่าสามารถใช้งานได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 และตอบโจทย์กลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.

Mr. Hironori KAWAMURA, Chief Representative of Asian Representative Office in Bangkok ของ NEDO กล่าวว่า การสร้างโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างต่อเนื่อง และการทดสอบ

ใช้งานจริงในรถกระบะ รถบรรทุก และรถฟอร์กลิฟต์ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการผลักดันการใช้ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง นอกจากนี้บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ต่างแสดงความสนใจการนำไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME ไปใช้ในรถกระบะและรถบรรทุกในภาคขนส่ง รวมถึงเครื่องจักรกลหนักในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระหว่างประเทศญี่ปุ่นและไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

ในงานนี้ Dr. Yuji YOSHIMURA, Senior Advisor at ENTEC ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “What is the Premium Biodiesel H-FAME” โดยเน้นถึงข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับไบโอดีเซลธรรมดา โดยเฉพาะคุณสมบัติด้านความเสถียรที่สูงกว่าการลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ที่น้อยกว่า ที่สำคัญคือสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 47% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งาน

อย่างแพร่หลายในอนาคต นอกจากนี้ในแง่ของต้นทุน หากสามารถขยายกำลังการผลิตได้ ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น

จากไบโอดีเซลธรรมดาเพียง 1 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับ

ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ENTEC และหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทเอกชนในประเทศไทยและญี่ปุ่นหลายแห่งสนใจเทคโนโลยีไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างมาก เนื่องจาก

ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ยังช่วยลดต้นทุนโดยรวมตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจของภาคเอกชนคือ ต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกที่สูงในปัจจุบัน รวมถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ที่จะทำให้สินค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

มีต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น การนำ H-FAME มาใช้ในการผลิตและขนส่งจึงช่วยลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและ

เสริมภาพลักษณ์องค์กรในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME สามารถผลิตไบโอดีเซลได้ 250 ลิตรต่อวันอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างหารือร่วมกับ NEDO เพื่อขยายกำลังการผลิตไปสู่โรงงานต้นแบบขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดทั้งในไทยและระดับสากล

"ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME นับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอน

ในภาคขนส่ง สอดคล้องกับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และช่วยลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมให้แก่ภาคธุรกิจ ปัจจุบันโรงงานต้นแบบมีกำลังการผลิต 250 ลิตรต่อวัน และกำลังพัฒนาไปสู่โรงงานต้นแบบขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนา

อย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและระดับสากล"

Comments


Top Stories

เว็บข่าวออนไลน์เพื่อคุณ

ติดต่อโฆษณา

 K.Achira

064-039-6490

bangkoknewsnetwork@gmail.com

  • Instagram
  • Youtube
  • TikTok
  • Facebook

© 2035 by The Global Morning. Powered and secured by Wix

bottom of page